15 ปีที่แล้ว ตอนที่ผมลงทุนทำธุรกิจ ผมต้องเดินทางไปดูงานที่เมืองๆ หนึ่งหลังจากพูดคุยเรื่องธุรกิจเสร็จแล้ว ผมได้เข้าไปซื้อของขวัญในห้างสรรพสินค้า ซึ่งปกติเวลาที่ผมเดินห้างฯ ผมชอบพกเหรียญติดตัวไปด้วย เพราะแถวนั้นมักมีขอทานอยู่ ผมมักจะให้เงินเขาเหล่านั้นทีละเหรียญสองเหรียญ แค่นี้ผมก็รู้สึกเป็นสุขใจแล้ว

หลังจากที่ผมได้เดินเลือกซื้อของอยู่หลายร้าน ผมก็เจอของขวัญที่ถูกใจมาชิ้นหนึ่ง จากนั้นผมจึงออกจาห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ แล้วจู่ๆ สายตาของผมก็พลันเหลือบไปเห็นเด็กชายคนหนึ่ง ในมือของแกถืออะไรสักอย่างและกำลังมองมาทางผมสายตาของเด็กคนนั้นทำให้ผมต้องเดินเข้าไปหา

“ผมอยากได้อุปกรณ์ขัดรองเท้า”

ในเมื่อยังพอมีเวลาอยู่ ผมจึงได้เดินเข้าไปคุยกับเด็กชายคนนี้ แล้วถามเด็กคนนี้ไปว่า

“อุปกรณ์ขัดรองเท้าราคาเท่าไหร่เจ้าหนู?”

“130 เหรียญครับ” เด็กชายมองมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง

“ฉันว่ามันแพงเกินไปนะ” พูดเสร็จผมก็ส่ายหน้า

“ไม่เลยครับ ผมสอบถามร้านค้าส่งในตลาดมา 4 รอบแล้ว ไม่มีร้านไหนขายได้ถูกกว่านี้แล้วครับ ”เด็กชายเล่าอย่างตั้งใจ

ผมเห็นความตั้งใจของเด็กคนนี้ และพิจารณาแล้วว่า เด็กคนนี้ไม่น่าจะหลอกผมเป็นแน่ ผมจึงถามแกไปว่า

“แล้วตอนนี้เธอมีเงินอยู่ในมือเท่าไหร่?”

เด็กน้อยล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง

“30 เหรียญครับ ผมขาดเงินอยู่อีก 100 เหรียญ!”

ผมเปิดกระเป๋า แล้วหยิบเงินออกมา 100 เหรียญ แล้วก็บอกเด็กไปว่า

“เงิน 100 เหรียญนี้ฉันให้เธอ คิดซะว่าฉันร่วมลงทุนกับเธอก็แล้วกัน แต่ฉันมีข้อแม้อยู่ว่า เมื่อเธอเริ่มมีรายได้ เธอจะต้องหักเงินออกมาคืนให้ฉัน ซึ่งฉันจะอยู่ที่เมืองนี้อีก 5 วัน ภายใน 5 วันนี้เธอต้องคืนเงินให้ฉันจนครบ และฉันขอดอกเบี้ยจากเธอ 1 เหรียญ หากเธอตกลง เงิน 100 เหรียญนี้ก็จะเป็นของเธอ!”

เด็กน้อยเล่าให้ผมฟังว่า เขาเรียนอยู่ชั้นประถม 6 แต่ไปโรงเรียนเพียงแค่อาทิตย์ละ 3 วัน ส่วนวันที่เหลือจะต้องช่วยแม่เลี้ยงวัว และทำงานในนา แต่การเรียนไม่เคยตกจากอันดับที่ 3 เลย แถมยังอวดว่าตนเองอีกว่าเป็นคนเก่งที่สุดอีกด้วย

ผมถามเขาว่าทำไมต้องซื้ออุปกรณ์ขัดรองเท้า เด็กชายบอกผมว่า

“บ้านผมยากจน ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม ผมก็เลยขอแม่เข้ามาอยู่ในตลาด เพื่อหาเงินให้แม่และเป็นค่าเล่าเรียนของผม”

ผมมองเขาด้วยสายตาสุดทึ่งในความคิด จากนั้นผมจึงเดินเป็นเพื่อนเด็กคนนี้ไปซื้ออุปกรณ์ขัดรองเท้า

เด็กชายแบกกล่องอุปกรณ์ขัดรองเท้าออกมาจากร้านค้าส่งและเดินตรงไปยังหน้าห้างฯที่แกยืนอยู่เมื่อครู่นี้

ผมเรียกเด็กคนนี้พร้อมกับบอกว่า “ในเมื่อตอนนี้เราสองคนได้ทำธุรกิจร่วมกันแล้ว ฉันอยากจะแนะนำเธอว่า เธอไม่ควรที่จะยื่นอยู่หน้าห้างนี้นะ เพราะว่าในห้างนี้มีบริการขัดรองเท้าฟรี และคนที่มาเดินห้างนี้ก็รู้กันว่ามีบริการนี้อยู่”

“ถ้าแบบนั้นผมไปตั้งร้านแถวหน้าโรงแรมดีไหมครับ” เด็กน้อยถาม

“เป็นความคิดที่ไม่เลวนะ เพราะแถวนั้นมีนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจมาพักเยอะอยู่เหมือนกัน เมื่อพวกเขาเห็นเธอให้บริการรับขัดรองเท้า พวกเขาคงจะสนใจมาใช้บริการกับเธอนะ เธอนี่รู้จักเลือกที่ทำเลในการทำธุรกิจเหมือนกันนะ” ผมพูดพร้อมยกนิ้วให้กับเด็กน้อย

เด็กน้อยพูดขึ้นว่า “ทำไมคุณไม่ให้ผมจ่ายดอกเบี้ยให้คุณก่อนครับ เพราะคุณก็รู้ดีนะว่าผมให้บริการดีขนาดไหน” ผมได้ยินจึงหัวเราะออกมา เด็กน้อย เธอจะขัดรองเท้าให้ฉันเพื่อแลกกับดอกเบี้ย 1 เหรียญนี่นะ” ผมได้ยินเด็กคนนี้พูดรู้สึกทึ่งกับความคิดของเด็กน้อยเป็นครั้งที่ 2 ดังนั้นผมจึงนั่งลงที่เก้าอี้ พร้อมกับยกเท้าขึ้นเหยียบกล่องเพื่อให้เด็กน้อยขัดรองเท้า

เด็กน้อยก้มหัวขัดรองเท้าให้ผม พร้อมกับชมตัวเองว่า เขาเป็นคนเก่งที่สุดแล้ว “คุณรู้หรือเปล่า ว่าผมนั้นฝึกขัดรองเท้าหนังที่บ้านมา 1 เดือนแล้ว คุณก็รู้ว่าแถวนี้มีคนใส่รองเท้าหนังไม่กี่คู่หรอก ผมไปขอขัดรองเท้าเขามาหมดแล้ว” เด็กน้อยพูดไปพร้อมกับขัดรองเท้าไปด้วย

สักครู่ ก็มีรถนักท่องเที่ยวมาจอดหน้าโรงแรม เด็กน้อยถือกล่องอุปกรณ์และเก้าอี้วิ่งเข้าไปยังนักท่องเที่ยว

“ให้บริการขัดรองเท้าครับ ผมสามารถขัดรองเท้าของคุณให้มันวาวเหมือนกระจกได้นะครับ” มีนักท่องเที่ยวคนหนึ่งเดินเข้า

พอเช้ารุ่งขึ้นผมได้แวะเข้าไปหน้าเด็กน้อยคนนี้ที่หน้าโรงแรม เมื่อเด็กน้อยเห็นผม แกได้เล่าให้ผมฟังด้วยอาการที่ใจดีว่า “เมื่อวานผมขัดร้องเท้าได้ตั้ง 60 เหรียญ เด็กน้อยหักเงินคืนผม 20 เหรียญ ค่าอาหาร 4 เหรียญ จึงมีเงินเหลืออยู่ 36 เหรียญ

ผมจึงตบบ่าเด็กคนนี้พร้อมกับชมแกไปว่า “เก่งมาก”

เด็กน้อยบอกผมว่า “เมื่อวานแกได้นอนห้องที่โรงแรมเป็นห้องนอนรวม ไม่ได้นอนใต้สะพาน แถมยังไม่ได้จ่ายค่าห้อง 5 เหรียญอีกด้วย” ผมสงสัยจึงถามเด็กคนนี้ว่า ทำไม่ถึงไม่ได้จ่ายค่าห้องพัก”

แกจึงตอบผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและพอใจว่า “ผมช่วยขัดรองเท้าให้กับเจ้าของโรงแรม 10 กว่าคู่ ซึ่งเย็นนี้ผมก็ไม่ต้องจ่ายค่าห้องเช่นกัน”

ระยะเวลา 5 วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงเวลาที่ผมจะต้องเดินทางกลับ เด็กคนนี้คืนเงินผมวันละ 20 เหรียญจนครบ 100 เหรียญในวันสุดท้าย

เด็กน้อยรู้ว่าผมเป็นผู้จัดการบริษัทที่ ปักกิ่ง และได้บอกผมว่า หากเขาเรียนจบปริญญาตรีเขาจะไปตามหาผมที่ปักกิ่ง พร้อมกับยื่นมือดำๆ ของเขามาให้ผมจับ ผมจับมือเด็กน้อยเอาไว้แน่น

ผมได้ทำงานอยู่บริษัทในปักกิ่งหลายปี จนได้ออกมาเปิดบริษัทเทรดดิ้งเอง วันนี้ผมวุ่นวายแต่เช้าเนื่องจากบริษัท ประสบปัญหาขาดทุนเยอะพอสมควร ผมไปขอกู้เงินจากเพื่อนๆ และธนาคารหลายแห่ง แต่ไม่มีใครสามารถที่จะช่วยผมได้

หลังจากที่ผมวางสารโทรศัพท์ลง เลขาเข้ามารายงานกับผมว่า กลางวันนี้มีนักธุรกิจหนุ่มท่านหนึ่งจะเข้ามาพบและนัดรับประทานอาหารกลางวัน ผมมัวแต่ยุ่งๆ กับบัญชีรายจ่ายเพื่อหาทางหาทางแก้ไขมัน โดยไม่ได้มองหรือถามเลขาว่านักธุรกิจหนุ่มท่านนั้นเป็นใคร จนเลขาได้ยื่นเอาพวงกุญแจอันหนึ่งมาวางที่โต๊ะให้ผม ผมมองกุญแจอันนั้นด้วยความตกตะลึง ซึ่งที่กุญแจมีอักษรคำว่า “ผมเก่งมาก” อยู่ตรงรูปหมี

เมื่อถึงเวลาที่เด็กคนนั้นนัดผมเอาไว้เที่ยง ณ ห้องอาหารในโรงแรมแห่งหนึ่ง

ผมเดินเข้าไปยังโต๊ะที่จองเอาไว้ ผมเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ใส่สูทยืนขึ้นพร้อมกับโค้งคำนับและยิ้มให้กับผม

ในรอยยิ้มและสายตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ทำให้ผมนึกถึงภาพเด็กน้อยเมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา

ผมและเด็กหนุ่มรับประทานอาหารร่วมกันพูดคุยกันอย่างสนุกสนานและถูกคอ เมื่อรับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มได้ยื่นเช็คให้ผมระบุจำนวนเงิน 5 ล้านเหรียญพร้อมกับพูดกับผมว่า

“ผมอยากจะร่วมลงทุนกับคุณ ในเวลา 5 ปี คุณต้องคืนทุนให้กับผม”

“โห 5 ล้านเหรียญ” ผมพูดออกมาด้วยความตกใจ ซึ่งจำนวนเงินนี้สามารถแก้ปัญหาธุรกิจของผมได้

เด็กหนุ่มเล่าต่อไปว่า

“เมื่อ 15 ปีก่อน คุณเคยสอนให้ผมมีชีวิตอยู่รอด นับจากวันนั้นผมจึงได้มุ่งมั่นที่จะสร้างฐานะ ผมได้แต่เก็บเงินออมจนตอนนี้ผมมีบริษัทเป็นของตัวเอง สำหรับเงิน 5 ล้านเหรียญที่ผมให้คุณ ผมจะขอดอกเบี้ยประมาณหนึ่ง”

ผมจึงถามเด็กหนุ่มว่า จำนวนเงินที่ว่านั้นเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่”

ชายหนุ่มตอบผมว่า “1 เหรียญครับ”

ผมได้ฟังแล้วรู้สึกซาบซึ้งและดีใจเป็นอย่างมาก 100 เหรียญที่ผมได้ให้เด็กคนนั้นไปลงทุนไป 15 ปีก่อนโดยไม่ได้ตั้งใจนั้น กลับจะส่งผลให้ผมได้รับเงินตั้ง 5 ล้านเหรียญในวันนี้ นี่คงเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนอย่างมหาศาลที่ชีวิตผมจะได้รับเป็นแน่

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *